ราฮีม สเตอร์ลิง เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1994 ที่เมืองคิงส์ตัน เมืองหลวงของประเทศจาไมกา เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด และพ่อของเขาถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเขามีอายุได้เพียง 2 ขวบ เขากลายเป็นเด็กที่มีแม่คอยเลี้ยงดูเพียงคนเดียว และหลังจากนั้นไม่นานแม่ของเขาก็ตัดสินใจทิ้งสเตอร์ลิงและพี่สาวให้อยู่กับยายที่จาไมกา ส่วนตัวเธอนั้นมุ่งหน้าไปยังอังกฤษเพื่อศึกษาต่อด้วยความหวังว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่า
แต่หลังจากนั้น 3 ปี แม่ของเขาก็กลับมารับเขาซึ่งในตอนนั้นมีอายุ 5 ขวบ เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วยกัน เมื่อมาถึงอังกฤษ สเตอร์ลิง ก็รับรู้ได้ว่าที่นี่แตกต่างจากบ้านเกิดของเขาโดยสิ้นเชิง สเตอร์ลิง ต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อมใหม่ๆ โดยชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ใช่แค่วิ่งเล่นตามประสาเด็กทั่วไป แต่เขาและพี่สาวจะต้องช่วยงานของแม่ ที่ในตอนนั้นทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงแรม
ส่วนในเรื่องการเรียนของเขา สเตอร์ลิงก็มักจะโดนแกล้ง เนื่องจากเขาเป็นคนต่างถิ่น จนทำให้เขากลายเป็นเด็กที่แสดงการต่อต้าน ไม่เชื่อฟังแม้แต่แม่ของตัวเอง ในเวลาเรียนเขาก็ไม่เคยสนใจจนในที่สุดเขาก็ถูกบีบออกจากโรงเรียน ซึ่งเหตุการณ์นั้นมันทำให้เขาได้เรียนรู้ แต่ปรับปรุงในสิ่งที่เขาทำผิดพลาด
ต่อมาเขาก็ได้ไปเรียนยังโรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งเขาสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาไปตลอดกาลก็คือ การที่เขาได้เจอกับ ไคฟ์ เอลลิงตัน ผู้มีหน้าที่ดูแลเด็กกำพร้าในละแวกที่สเตอร์ลิงอาศัยอยู่ และเขาคนนี้ที่ทำให้สเตอร์ลิง กลับมาเริ่มต้นความฝันการเป็นนักฟุตบอลของเขาอีกครั้ง เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเล็กในชุมชน จนเมื่อเขามีอายุ 10 ขวบ ทักษะการเล่นฟุตบอลอันโดดเด่นของเขาก็ทำให้ แมวมองของทีมดังๆ ในอังกฤษต่างก็ต้องการตัวของเขาไปร่วมทีมเยาวชนโดยเฉพาะอาร์เซนอลทีมดังในพรีเมียร์ลีก แต่ สเตอร์ลิง ก็ไม่เลือกที่จะไปอยู่กับ อาร์เซนอล เขาเลือกที่จะไปเข้าร่วมทีมเยาวชนของควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ซึ่งเหตุผลที่เขาปฏิเสธอาร์เซนอลนั้นเนื่องจาก แม่ของเขาได้บอกว่า ต้องการให้สเตอร์ลิง ไปเริ่มต้นกับทีมเล็กๆ ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปยังทีมระดับสูง
ในปี 2009 เขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษในชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ก่อนที่จะเป็นผู้ทำ 2 ประตูให้กับทีมชาติอังกฤษ หลังจากนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ดีวันดีคืน
และในปี 2010 ในตอนที่เขามีอายุ 15 ปี เขาก็ถูกทาบทามให้ไปร่วมทีมกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ ซึ่งในช่วงแรกนั้นเขาต้องพบกับความยากลำบากในการปรับตัว และเขาจะต้องใช้ความพยายามในการพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปในทีมชุดใหญ่ให้ได้ และสเตอร์ลิง ก็ใช้เวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นก็สามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลได้สำเร็จในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในปี 2012 ซึ่งเขามีอายุเพียงแค่ 17 ปี เท่านั้น
และด้วยฝีเท้าของเขาก็สร้างความพอใจให้กับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นอย่างมาก สเตอร์ลิง ในตอนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยทักษะความสามารถ เขามีความคล่องแคล่วว่องไว เขาลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรก ในเดือนมีนาคม 2012 ในนัดที่เปิดบ้านพบกับ วีแกนแอธเลติก
ในฤดูกาล 2012-2013 สเตอร์ลิง มีโอกาสลงสนามในเกมยุโรปเป็นครั้งแรก ในนัดที่เอาชนะ โกเมล 1-0 โดยลงเป็นตัวสำรองแทน โจ โคล และในเดือนสิงหาคม 2012 สเตอร์ลิง ก็มีโอกาสได้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมพรีเมียร์ลีก ที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งในเกมนี้เขาสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขามีชื่อติดในทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ด้วย และหลังจากเกมนั้น สเตอร์ลิง ก็มีโอกาสได้ลงสนามเป็นตัวจริงอยู่อย่างต่อเนื่อง และในเดือนธันวาคม 2012 เขาก็สามารถทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้สำเร็จ ในเกมที่ลิเวอร์พูล เอาชนะ เรดดิง 1-0
สเตอร์ลิง กลายเป็นความหวังของลิเวอร์พูล จะช่วยพาลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ในฤดูกาล 2013-2014 เขามีชื่อเข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ และในปี 2014 เขาสามารถคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของแฟนบอลในการประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014
ในฤดูกาล 2014-2015 ในเดือนเมษายน สเตอร์ริง ปฏิเสธการต่อสัญญากับลิเวอร์พูล โดยให้เหตุผลในตอนนั้นว่าต้องการมุ่งมั่นในการเล่นให้กับสโมสร และจะกลับมาพูดคุยถึงเรื่องนี้หลังจากจบฤดูกาลไปแล้วเท่านั้น ในปี 2015 เขาได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของแฟนบอล ในการประกาศรางวัล Players’ Awards 2015
ในเดือนกรกฎาคม 2015 เขาแจ้งกับทางลิเวอร์พูลว่าต้องการย้ายทีม และไม่ร่วมในการฝึกซ้อม โดยให้เหตุผลว่าป่วย และหลังจากนั้น สเตอร์ลิงก็ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ และมีระยะเวลา 5 ปี ซึ่งในตอนนั้นเขาถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นคนหน้าเงิน
สำหรับผลงานหลังจากที่ย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสองฤดูกาลแรก ผลงานส่วนตัวของเขาไม่ได้โดดเด่นมากนัก แม้ว่าจะมีโอกาสลงสนามอยู่บ่อยครั้ง แต่ในสองฤดูกาลเขายิงไปได้แค่ 13 ประตู
ในฤดูกาล 2017-2018 เขาสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำกว่าเดิม ด้วยการยิงไป 18 ประตู และพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
ในฤดูกาล 2018-2019 เขาทำได้ 17 ประตู เป็นมีส่วนช่วยพาทีมคว้าสามแชมป์ในประเทศได้สำเร็จ และคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีก ติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก
ในส่วนของทีมชาติ เขาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ในปี 2012 และมีรายชื่อชุดลุยศึกบอลโลก 2014 ที่บราซิล ปี 2015 เขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมชาติชุดใหญ่ ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก ที่เอาชนะ ลิทัวเนีย 4-0